top of page

Risk Parity คืออะไร?


ree

Risk Parity คือกลยุทธ์จัดพอร์ตที่ไม่ได้วัดด้วยจำนวนเงินลงทุนแต่ใช้ “ระดับความผันผวน” ของแต่ละสินทรัพย์ในการถ่วงน้ำหนักเพื่อให้พอร์ตเติบโตอย่างสมดุลในทุกสภาวะเศรษฐกิจ — ทั้งเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อ หรือวิกฤต


เป้าหมาย:ทำให้สินทรัพย์แต่ละประเภทในพอร์ต มีสัดส่วนความเสี่ยงเท่า ๆ กันโดยใช้กลยุทธ์จัดสรรสัดส่วนการลงทุน และใช้ leverage ในการปรับสมดุล


ทำไมต้องใช้ Risk Parity?

เพราะการกระจายเงินแบบทั่วไป (เช่น หุ้น 60% พันธบัตร 40%)ทำให้หุ้นแบกรับความเสี่ยงมากกว่า 90% ของทั้งพอร์ต

เช่น:

  • หุ้นมีความผันผวนสูง

  • พันธบัตรมีความผันผวนต่ำ→ แม้ใส่พันธบัตรไว้ 40% แต่หุ้นยังครองความเสี่ยงแทบทั้งหมด

Risk Parity แก้ปัญหานี้ โดยให้ “น้ำหนักตามความเสี่ยง” ไม่ใช่แค่ตามมูลค่าเงินลงทุน


หลักการพื้นฐานของ Risk Parity

1. วัดความเสี่ยง (Volatility) ของแต่ละสินทรัพย์

  • ใช้ค่า Standard Deviation (SD) หรือ Historical Volatility

2. ปรับสัดส่วนการลงทุน

  • ให้ “แต่ละสินทรัพย์มีสัดส่วนความเสี่ยงเท่ากัน”→ ถ้าสินทรัพย์ใดมีความเสี่ยงต่ำ ต้อง “เพิ่มสัดส่วน” หรือ “ใช้ Leverage”

3. จัดสรรน้ำหนักพอร์ตใหม่แบบสมดุลความเสี่ยง

เช่น:

  • หุ้น 20%

  • พันธบัตร 50%

  • ทองคำ 15%

  • สินค้าโภคภัณฑ์ 15%(แทนที่จะเป็น 60/40 แบบเดิม)


ตัวอย่างพอร์ตแบบ Risk Parity (สไตล์ All Weather Portfolio)

สินทรัพย์

น้ำหนัก

เหตุผล

พันธบัตรระยะยาว (TLT)

40%

ให้ความเสถียรในภาวะเศรษฐกิจถดถอย

พันธบัตรระยะสั้น (IEF)

15%

ลดความผันผวน

หุ้น (VTI, SPY)

30%

เติบโตในภาวะเศรษฐกิจขาขึ้น

ทองคำ (GLD)

7.5%

ป้องกันเงินเฟ้อ-ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

สินค้าโภคภัณฑ์ (DBC)

7.5%

ได้ประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว-เงินเฟ้อ

พอร์ตนี้ออกแบบโดย Bridgewater สำหรับสภาพเศรษฐกิจ 4 แบบ:"ขาขึ้น / ขาลง" + "เงินเฟ้อ / เงินฝืด"


ข้อดีของ Risk Parity

  1. ป้องกันการ “Overweight ความเสี่ยงในหุ้น” โดยไม่รู้ตัว

  2. ทำงานได้ดีในหลายสภาพเศรษฐกิจ

  3. มีความผันผวนน้อยกว่าพอร์ตแบบเดิม 60/40

  4. สามารถเสริม Leverage ได้อย่างมีระบบ

ข้อจำกัดของ Risk Parity

  • ต้องคำนวณ Volatility และ Correlation อยู่เสมอ (ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ไม่ใช้เครื่องมือวิเคราะห์)

  • อาจต้องใช้ Leverage ในบางส่วน → เพิ่มความซับซ้อน

  • ต้อง Rebalance บ่อยเมื่อความเสี่ยงเปลี่ยน

  • หากทุกสินทรัพย์ตกพร้อมกัน (เช่นปี 2022) ก็ยังมีความเสียหาย

ใช้ Risk Parity อย่างไรในชีวิตจริง?

ทางเลือก:

  • ลงทุนในกองทุนที่ใช้หลัก Risk Parityเช่น AQR Risk Parity Fund, RPAR ETF

  • สร้างพอร์ตเอง โดยใช้ ETF ที่มีลักษณะตรงกับสินทรัพย์แต่ละประเภท

    • หุ้น: SPY, VTI

    • พันธบัตร: TLT, IEF

    • ทองคำ: GLD

    • โภคภัณฑ์: DBC


    คำนวณ Volatility ด้วย Excel หรือ TradingView หรือ ใช้ EA ช่วยคำนวณ

บทสรุป: Risk Parity เหมาะกับใคร?

  • นักลงทุนสาย "มั่นคงระยะยาว"

  • ผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงรุนแรงในตลาด

  • ผู้ที่ต้องการพอร์ตทนต่อทุกสภาวะเศรษฐกิจ

  • เหมาะอย่างยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง


นี่คือตัวอย่างกองทุนและ ETF ที่ใช้หลักการ "Risk Parity"

1. RPAR Risk Parity ETF (Ticker: RPAR)

  • ผู้ออก: RPAR Asset Management

  • จัดตั้ง: ปี 2019

  • จุดเด่น:

    • ใช้แนวคิด Risk Parity อย่างเป็นระบบ

    • กระจายในหุ้น, พันธบัตร, ทองคำ, สินค้าโภคภัณฑ์

    • ใช้ Futures และ ETF เพื่อควบคุม Leverage

  • เหมาะกับ: นักลงทุนทั่วไปที่ต้องการพอร์ตทนความผันผวนแบบ “All Weather”

2. AQR Risk Parity Fund (Ticker: AQRIX / QRMIX)

  • ผู้ออก: AQR Capital Management (บริษัท Quant ระดับโลก)

  • เปิดตัว: ปี 2010

  • โครงสร้าง: Mutual Fund (ไม่ใช่ ETF)

  • จุดเด่น:

    • ใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคณิตศาสตร์

    • ใช้ Leverage อย่างคำนวณ

    • จัดพอร์ตหลายสินทรัพย์แบบ Risk-Weighted

  • ข้อควรระวัง: ค่าธรรมเนียมสูงกว่า ETF ทั่วไป

3. Invesco Balanced-Risk Allocation Fund (Ticker: ABRZX / BABDX)

  • ผู้ออก: Invesco

  • กลยุทธ์: ผสมหุ้น + พันธบัตร + สินค้าโภคภัณฑ์

  • แนวคิด: All Weather + Risk Parity

  • ผลตอบแทนย้อนหลัง: เน้นความเสถียร ไม่หวือหวา

4. Bridgewater All Weather Fund (สำหรับสถาบัน)

  • ผู้จัดการ: Bridgewater Associates

  • ลูกค้า: สถาบันระดับโลก เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ ธนาคารกลาง

  • จุดเด่น:

    • ต้นแบบแนวคิด Risk Parity

    • ไม่เปิดขายให้รายย่อย

    • เน้นความเสถียรระยะยาว

5. Cambria Trinity ETF (Ticker: TRTY)

  • แนวคิด:

    • ผสม Global Allocation + Risk Parity + Momentum

    • ใช้ ETF ทั่วโลก

    • Rebalance อัตโนมัติ


กองทุนไทยส่วนใหญ่อาจยังไม่ใช้ “Risk Parity” แบบเต็มรูปแบบ แต่เริ่มมีการนำแนวคิดเข้ามาปรับใช้

“อย่าถามว่าใส่เงินไปกี่เปอร์เซ็นต์ จงถามว่าแบกรับความเสี่ยงไปกี่เปอร์เซ็นต์”"Don’t ask how much money you’ve allocated — ask how much risk you’re carrying."


#projectcwf #ความรู้การเงิน #ลงทุน#RiskParity #ลงทุนอย่างเข้าใจ #วางพอร์ตแบบมืออาชีพ #เศรษฐกิจผันผวนก็ไม่หวั่น #AllWeatherPortfolio #บริหารความเสี่ยง

ความคิดเห็น


ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในโพสต์นี้ได้แล้ว เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเจ้าของเว็บไซต์
bottom of page